‘แจ็ค วอลช์’ (Robert De Niro) เป็นนักล่าค่าหัวรับงานจากสำนักประกันตัว ออกตามจับ ‘โจนาธาน’ (Charles Grodin) นักบัญชีที่ยักยอกเงินของมาเฟียยาเสพติดไป เขาจะได้เงินจากงานนี้สูงถึง 1 แสนเหรียญฯ เพียงพอให้เขาเลิกทำอาชีพเสี่ยงตายนี้สักที แต่ปรากฏว่าพอได้ตัวโจนาธานปุ๊บ เขาถึงเพิ่งรู้ว่า FBI ก็ต้องการตัวไปเป็นพยาน, ส่วนมาเฟียก็ส่งคนมาตามเก็บ, และสำนักประกันตัวยังส่งนักล่าค่าหัวอีกคนมาชิงตัวจากเขาอีก เรียกว่าชุลมุนกันไปหมด

ความเจ๋งของหนังคือใช้การเดินทางระหว่างส่งตัวกลับเป็นการปอกเปลือกตัวตนของแจ็ค วอลช์ ออกมาจนหมด อดีตตำรวจที่ต้องออกจากงานเพราะไม่รับเงินสินบนจนต้องมาทำงานล่าค่าหัวแทน ถูกภรรยาเก่าทิ้งไปแต่ยังเก็บของที่เธอให้ไว้ ดูเป็นตัวละคร loser ที่เราตกหลุมรักในความซื่อตรงของเขา(ทั้งที่ในเรื่องการทำงานโคตรกะล่อน) ในขณะเดียวกันเส้นเรื่องของโจนาธานก็มีความสนุกในจังหวะพยายามหลบหนีพร้อม ๆ กับความสัมพันธ์แบบพึ่งพาแจ็ค วอลช์ ไปด้วย มีความน่ารักยามช่วยเหลือกัน มีความตลกเวลากัดกันแบบที่หนังหลายเรื่องไม่ค่อยมีสไตล์นี้ เพราะทั้งสองคนไม่ได้ตั้งท่าไม่ถูกกัน คนหนึ่งก็ทำงานตามหน้าที่ อีกคนก็แค่พยายามเอาตัวรอด โดยพื้นฐานก็เป็นคนดีทั้งคู่

หนังยุคหลัง ๆ ตัวละครดูจะเน้นไหวพริบความฉลาดแข่งกันพอสมควร แต่ Midnight Run เล่นง่ายไว้ก่อน ตัวเอกก็ไม่ได้ฉลาดมากมาย จับไต๋ได้ช้า ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังรอบคอบเป็นขั้นเป็นตอน เช่นเดียวกับตัวร้ายและตำรวจก็ตายน้ำตื้นพอ ๆ กับเวลาจะฉลาดก็ฉลาดขึ้นมาเชียว การต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ เลยเป็นความสนุกอย่างหนึ่งระหว่างเดินทาง ยิ่งพอหนังขมวดปมการตามล่าของหลายฝ่ายเข้าหากันได้เลยต้องยกนิ้วให้ความฉลาดในการเขียนบท

ที่ชอบเป็นพิเศษคือโทนคอมเมดี้ ตัวร้ายไม่ได้ตั้งท่าต้องโหด คู่กัดไม่ได้เล่นกันรุนแรง ดนตรีประกอบก็ฟังแล้วสดใส มันไม่ใช่หนังที่ตลกเอาเป็นเอาตาย ตรงนี้แหละจุดขายสำคัญ บนเรื่องราวไล่ล่าเป็นเส้นเรื่องหนึ่ง อีกเส้นเล่าการเดินทางพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแปลกหน้า ผสมกันได้ด้วยโทนเบา ๆ เพลิน ๆ กลมกล่อมจริง แนะนำให้ลองดูชิลล์ ๆ ครับ