Back to the Future (1985) เรื่องราวของ “มาร์ตี้” หนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่บังเอิญได้เจอ “ดร.บราวน์” นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เขาทดสอบเครื่องย้อนเวลาที่ประดิษฐ์ขึ้นเองด้วยรถยนต์ ทำให้มาร์ตี้ได้ย้อนไปในอดีต จากปี 1985 ไปปี 1955 ที่นั่นเขาได้พบพ่อและแม่ในช่วงวัยรุ่น แต่เกิดเหตุการณ์ให้มาร์ตี้เขาไปยุ่งเกี่ยว ทำให้แม่ตัวเองมาชอบพอ ตามตื้อ โดยที่ไม่รู้ว่ามาร์ตี้คือลูกในอนาคต

ซึ่งจะทำให้ห้วงเวลาเปลี่ยนและมาร์ตี้จะไม่ได้เกิดมา รวมถึงพี่น้องด้วย มาร์ตี้จึงต้องพยายามหาวิธีให้พ่อแม่มารักกัน และหาทางกลับไปสู่ปัจจุบันให้ได้

เนื้อเรื่อง การดำเนินเรื่องไม่น่าเบื่อ ดูเพลินมาก โคตรสนุก บุคลิกตัวละครมีความตลกอยู่ทุกตัว คลายเครียดดี ถึงหนังจะเก่า มีอุปกรณ์ไฮเทค แต่เอฟเฟค เทคนิค การถ่ายทำคือดี ดูล้ำสมัย ไม่รู้สึกขัดตา สมัยนั้นทำได้ขนาดนี้คือสุดยอดเลยนะ (ผ่านมา 30 ปี บ้านเรายังทำสู้เขาในตอนนั้นไม่ได้เลย) ชอบตัวละครแม่ตอนวัยรุ่น เป็นผู้หญิงที่แอบมีความหื่นเล็กๆ รุกผู้ชายก่อนตลอด ฮาดี 

ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ (Michael J. Fox) ปัจจุบันอายุ 58 ปี แต่ใน Back to the Future ช่วงวัยรุ่น แสดงได้เป็นธรรมชาติ มีเสน่ห์ จนแจ้งเกิด มีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าพูดถึงชื่อ ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ ทุกคนก็จะนึกถึง Back to the Future ก่อนเสมอ ไม่ว่าจะผ่านหนังมาอีกกี่เรื่องก็ตาม

Back to the Future มีทั้งหมด 3 ภาค สนุกหมดทุกภาค

ภาค 2 จะเป็นการข้ามเวลาไปในอนาคตจากปี 1985 ไปปี 2015 เพื่อแก้ไขความผิดที่ลูกชายของมาร์ตี้ได้ก่อเรื่องไว้ (หลายๆ อย่างที่ทำนายไว้ก็มีจริงแล้วด้วยในปัจจุบัน)

ภาค 3 มาร์ตี้ต้องย้อนเวลาเพื่อไปตาม ดร.บราวน์ ที่ติดอยู่ในยุคคาวบอย ทำให้เขาได้พบกับญาติและบรรพบุรุษของตัวเองในยุคนั้น

ถ้าถามว่าภาคไหนสนุกที่สุด คงตอบยากเพราะความสนุกแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าชอบภาคไหนมากที่สุด ผมยกให้ภาค 1 ครับ พอมาดูชื่อผู้กำกับ คือ Robert Zemeckis (โรเบิร์ต เซเมคคิส) เป็นผู้กำกับคนเดียวกับ Forrest Gump และ Cast Away ถึงจะคนละแนวกัน แต่ความกลมกล่อม ลงตัว ไม่ต่างกันแน่นอน

ใครที่ชอบแนวิทยาศาสตร์ ผจญภัย แบบสนุกๆ ดูไม่มีเบื่อ ต้องไม่พลาดเรื่องนี้ครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน ดู 3 ภาคยาวไป (จะใช้เวลา 5 ชั่วโมง 42 นาที) ดูจบต้องดูต่อเลย ไม่ต้องทิ้งช่วงนานเพราะเหตุการณ์ในหนังมันต่อเนื่องทันที และมีจุดเชื่อมโยงกันทุกภาค เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว ดูง่าย สบายๆ ดูจบอาจจะกลายเป็นหนังเรื่องโปรดในใจคุณแบบไม่รู้ตัว