bfm33

เรื่องราว สองคู่หูต่างขั้วที่จับผลัดจับผลูตระเวนเดินทางไปทั่วตอนใต้ของอเมริกา โทนี่ ลิป อดีตบอดี้การ์ดเฝ้าผับขาใหญ่ เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกันจากย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก ต้องมาเป็นคนขับรถให้ ดอน เชอร์ลีย์ นักเปียโนคลาสสิกผิวสีระดับโลกเพื่อไปบรรเลงเพลงจากเวทีต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลานานเกือบ 2 เดือน ระหว่างที่เขาออกเดินสายขึ้นแสดงในยุค 60 สิ่งเดียวที่นำทางทั้งคู่คือ สมุดปกเขียว ที่บอกสถานที่ที่เป็นมิตรกับคนผิวสี พวกเขาต้องฝ่าทั้งกำแพงแห่งสีผิว ภัยอันตรายต่าง ๆ เช่นเดียวกับน้ำใจจากเพื่อนมนุษย์ในการเดินทางครั้งสำคัญนี้

ภาพของหนังคือการใช้ชีวิตคน 2คน ที่ต่างกันสุดขั้วทางความคิด คนผิวขาว ที่เป็นคนปากจัดอารมณ์ร้ายทำงานรับจ้างหาชาวกินค่ำไปวันๆ แถมยังเขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนตัวละครอีกคนคือ คนผิวสีแต่นักดนตรีมากความสามารถ มีเงินมีทอง มีการศึกษาชั่นสูง ทั้ง 2 คนต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันบนรถยนต์ขับทั่วอเมริกาทางตอนใต้

ในยุค 60 สังคมอเมริกัน คนผิวดำยังคงถูกจำกัดในวงแคบ ไม่ได้รับการยอมรับจากคนผิวขาว พวกเขายังคงมองว่ากลุ่มคนพวกนี้คือชนชั้นล่างอยู่ ไม่มีสิทธิ์มีเสียง หลายๆฉากเราพบว่า คนผิวสี มักโดนรังแกจากกลุ่มคนผิวขาว และต้องพบปะผู้คนแค่สีผิวเท่านั้น ยิ่งดูไปเรื่อยๆเราจับต้องได้ว่า ความจริงแล้วสีผิวไม่ได้ตีความว่าผิวขาวดีกว่าผิวสีเสมอไป เพราะรูปลักษณ์ภายนอกมันไม่ได้บอกว่า คุณค่าความเป็นคนไม่ได้ขึ้นอยู่ที่สีผิวเลยสักนิด

เนื้อหาทำให้เรารู้สึกว่า คนผิวสีมีจิตใจมีคุณค่ามีคุณงามความดี หาใช้แค่ภาพลักษณ์ ช่วงแรกเราจึงเห็นโทนี่ ก็ไม่ยอมรับคนผิวสี แต่การจากการสัมผัสนายจ้างตัวเองตลอดการเดินทาง ได้เข้าใจความคิดความอ่านของ ดร.ดอน มากขึ้น เพราะต่อให้มีฐานะมากแค่ไหน ทุกสถานที่ที่เขาไปบรรเลงเปียโน่ในสังคมชั้นสูงตามที่ต่างๆเขาก็ยังโดนมองว่าเป็นนิโกรอยู่ดี ซึ่งมันเป็นการดูถูกที่เห็นแล้วรู้สึกแย่มาก ยิ่งในซีนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กินข้าวร่วมโต๊ะผิวขาวนี่แหละ แม่งใช่เลย สังคมที่เหยียดยามเลือกปฏิบัติเป็นอะไรที่แย่มาก

เมื่อตัวละครได้เรียนรู้ทัศนคติอีกฝ่ายมากขึ้น มันก็เหมือนเป็นการละลายพฤติกรรมหมดเปลือก โทนี่ พร้อมจะปกป้องนายจ้างของตัวเองไม่ยอมให้ใครมารังแก หนังค่อยๆทะลายกำแพงระหว่างคนขาวและคนผิวสีลงไป มันกลายเป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจ

คะเเนน : 9/10