“LIFE IS LIKE A BOX OF CHOCOLATES. YOU NEVER KNOW WHAT YOU ARE GOING TO GET.”
นี่เป็นประโยคคำคมตลอดกาลจากภาพยนตร์ดราม่าที่ดีที่สุดในโลก เรื่อง Forrest Gump (1994) ซึ่งได้รับรางวัล Oscar

Forrest-

Forrest Gump เป็นหนังชีวิต เสียดสีสังคมอเมริกันสมัยนั้น และซ่อนปรัชญาในการใช้ชีวิตไว้มากมาย เช่น

ขนนก คือตัวแทนของเรื่องเล่าเชิงสารคดีหรืออิงเรื่องจริง (tale+feature = feather)

นอกจากนี้ขนนกสีขาวยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ character ของ Forrest Gump ตัวละครเอกที่มีความนึกคิดและการกระทำอันบริสุทธิ์ ชีวิตของเขานั้นเบาหวิวไม่ต่างจากสติปัญญา I.Q. 75 ของเขา เขาไม่คิดอะไรกับชีวิตมาก อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด มองโลกในแง่ดี ชีวืตจึงลอยปลิวไปมาตามสายลมที่เปลี่ยนแปลงของสังคมอเมริกาในยุค 50 – 70

ดังนั้นฉากแรกของเรื่อง จึงปรากฏภาพขนนกลอยอยู่บนท้องฟ้า ปลิวเคว้งคว้างไปมาตามสายลม กระทบสิ่งต่างๆรอบข้าง และร่วงลงแทบรองเท้า Nike คู่โปรดของ Forrest Gump ที่นั่งอยู่บนม้านั่งสำหรับรอรถประจำทาง

forrestasdsdsd-gump-trailer-p

Forrest ทักทายหญิงแปลกหน้าผิวดำที่ม้านั่งอย่างซื่อๆ เขายื่นกล่องช็อกโกแล็ตให้เธอ “Do you want a chocolate?” หญิงคนนั้นส่ายหัว เขาพูดกับเธอต่อว่า “My mama always said life was like a box of chocolates. You never know what you are going to get.”

Do you want a chocolate?” หญิงคนนั้นส่ายหัว เขาพูดกับเธอต่อว่า “My mama always said life was like a box of chocolates. You never know what you are going to get.”

หญิงผิวดำคนนั้นมอง Forrest ว่าเขาเป็นคนเพี้ยน แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสาร People ต่ออย่างไม่สนใจ แล้ว Forrest ก็ทักรองเท้าแสนสะอาดสีขาวโอโม่ของเธอว่า ดูเป็น comfortable shoes (ซึ่งต่างจากรองเท้า Nike คู่เขรอะของเขา) แล้วเขาก็เอ่ยถึงแม่ของเขาอีกครั้งว่า “My mama always said you can tell a lot about a person by their shoes. Where they’re going. Where they’ve been.”

ซึ่งประโยคคำพูดง่ายๆ ของเขา สื่อความหมายออกมาได้อย่างลึกซึ้ง รองเท้าของผู้หญิงคนนี้ขาวสะอาดราวกับไม่เคยผ่านอะไรหนักหนาสาหัสมาก่อนเลยในชีวิต ในขณะที่รองเท้าของ Forrest นั้นเกรอะกรังไปด้วยขี้ดินขี้โคลน บ่งบอกชัดเจนว่ารองเท้าคู่นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วกว่าทั่วทุกสารทิศ

ดังนั้นประโยค “Life is like a box of chocolates. You never know what you are going to get.” จึงสื่อได้อีกว่า ชีวิตเปรียบเสมือนกล่องช็อกโกแล็ต คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะเจอกับช็อกโกแล็ตรสอะไร จนกว่าคุณจะเปิดกล่องนั้น เหมือนกับที่คุณไม่มีทางรู้ destiny ของคุณเอง จนกว่าคุณจะเปิดใจและใช้ชีวิตไปกับมัน นั่นจึงไม่แปลกที่ผู้หญิงผู้สวมใส่รองเท้าขาวสะอาดคนนี้จะปฏิเสธช็อกโกแล็ตของ Forrest

gum

ทั้งหมดทั้งมวลก็พอจะกล่าวได้ว่า หนังนำเสนอในการใช้ชีวิตใน 2 ขั้ว นั้นคือ

  • การใช้ชีวิตในแบบโชคชะตาลิขิต
  • การลิขิตโชคชะตา

ฟอร์เรส กัมพ์ เลือกทางเดินในแบบสุดขั้วทางที่ 1

เจนนี่ เลือกทางเดินที่ 2 ในแบบสุดขั้ว

บั๊บบา เลือกทางเดินที่ 2

ร้อยตรี แดน เทย์เลอร์ เลือกทางเดินที่ 2 แต่ตอนหลังเปลี่ยนมายอมรับในทางเดินที่ 1

แม่ ใช้ทางเดิน 2 ทางผสมกัน อยู่ที่ว่าเหตุการณ์ไหนควรเอียงไปทางไหน

sdsa

ทั้งหมดทั้งมวล ในตอนท้ายของเรื่องแม้ฟอร์เรส กัมพ์ จะบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าแม่พุดถูก หรือผู้หมวดแดนพูดถูก ไม่รู้ว่าคนเราต้องลิขิตชีวิตมั้ย หรือว่าแค่ล่องลอยไปตามลม แต่ผมว่าน่าจะถูกทั้งคู่ เป็นได้ทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน” แต่สิ่งที่หนังนำเสนอผู้ชมก็อาจตีความได้อย่างแจ่มแจ้งว่า ทางในแบบฟอร์เรส กัพท์ นั้นน่าจะสดใสกว่า

แล้วถ้าลองคิดไปให้ลึกกว่านั้น ก็พอจะบอกได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกำลังจะบอกว่า หากคนในสังคมอเมริกาเชื่อฟังอย่างฟอร์เรส กัมพ์ คือชื่อฟังแบบคนชั้นกลางในแบบอนุรักษ์นิยม สิ่งต่างๆก็อาจจะถูกลิขิตไปทางที่ดีได้ เพราะถ้าทำตัวสุดขั้วแบบเจนนี่ ขัดขืนต่อระบบอนุรักษ์นิยม ที่ประเทศอเมริกากำลังปูทางให้คนในชาติดำเนินไป ในที่นี้ที่เห็นชัดคือการต่อต้านสงครามเวียดนาม การเที่ยวเร่ร้อนแบบฮิปปี้ ก็อาจจะมีหนทางที่ไม่ดีอย่าง เจนนี่ ได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจกำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าสิ่งสูงส่งที่สุด ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งแต่คือประเทศอเมริกานั้นเอง และสิ่งที่ลิขิตต่างๆนานา ไม่ใช่โชคชะตาแต่มันคือวิถีทางแบบอเมริกันชนนั้นเอง

สุดท้ายไม่ว่าผู้ชมจะเลือกวิถีทางเดินในแบบไหน ก็ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด อยู่ที่ว่าเราเต็มที่กับวิถีทางที่เราเลือกเดินหรือยัง ถ้าเราเต็มที่กับมันแล้ว อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้….. ลิขิตพาไปก็แล้วกัญ

อย่าลืมไปหามาดูกันน้ะครับ แอดมินบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้พลาดไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าไม่ดูเสียชาติเกิดมากๆ ฮ่าๆ