Review : Spider-Man: Far From Home การผจญภัยไกลบ้านของไอ้แมงมุม

***Spoil alert***

เรียกว่าการมาของ Spider-Man: Far From Home นั้นจะเป็นการจบเฟสสามที่แท้จริงของภาพยนตร์ในจักรวาลมาร์เวล แน่นอนว่าก็ทำเอาแฟนหนังทั่วโลกตั้งตารอคอยนับถอยหลังเพื่อที่จะได้ชมกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะหลายๆ คนที่ติดตามภาพยนตร์ในจักรวาลนี้มาตั้งแต่ต้นก็อยากจะทราบอยู่แล้วว่าหลังเกตุการณ์ใน Avengers: Endgame นั้นตัวละครที่เหลือจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน ซึ่งหนังได้เล่าส่วนหนึ่งที่สำคัญจากสไปเดอร์แมนภาคนี้

Spider-Man: Far From Home ว่าด้วยเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง Avengers: Endgame ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ และผองเพื่อนของเขาได้ไปเที่ยววันหยุดฤดูร้อนที่ยุโรป ทว่าที่นั่นปีเตอร์จะต้องช่วยเหลือ นิก ฟิวรี ในการตามล่าสิ่งมีชีวิตปริศนาที่สร้างมหันตภัยทางธรรมชาติที่พร้อมจะทำลายล้างทวีปนี้นี้

แอดมินยอมรับกันตามตรงว่าเปิดฉากแรกมาก็สามารถทำเอาแอดมิน น้ำตาซึมกันเลยทีเดียว เพราะมันมีเหตุการณ์รำลึกกับเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายที่ได้จากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งหลังจากนั้นหนังก็พาเราไปสำรวจชีวิตของ ปีเตอร์ ในวันที่ไม่มี โทนี สตาร์ก อยู่ แน่นอนว่าไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนเขาก็มักจะเจอร่องรอยการเคยมีอยู่ของไอออน และอย่างที่เห็นในตัวอย่างเจ้าตัวก็เหมือนจะได้เพื่อนซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่ คือ มิสเตริโอ ที่ถือเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลสำหรับภาคนี้

การมาของเพื่อนใหม่คนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่หลายๆ คนคาดเดา เพราะอะไรหลายๆ อย่างมันดูไม่ชอบมาพากล ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่มีการหักมุมคงไม่ใช่หนังของมาร์เวลแน่นอน ส่วนจะหักมุมอย่างไรนั้นต้องรอไปติดตามกันเอาเอง บอกเลยว่ามันเป็นพล็อตที่คาดไม่ถึงถือว่าฉลาดมากทีเดียว เนื่องจากได้มีการหยิบเอาเสี้ยวเหตุการณ์หลายๆ อย่างจากหนังในจักรวาลมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกันอย่างลื่นไหล ไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถเอาประเด็นนี้มารวมเข้าด้วยกันได้ด้วย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นช่างเป็นไปตามการตั้งชื่อหนัง Far From Home เพราะครั้งนี้สไปเดอร์แมนไปไกลจากบ้านมากๆ แถมยังแอบคิดเลยว่าเจ้าตัวจะได้กลับบ้านไหม (ฮ่าๆ) ด้วยเส้นเรื่องที่ทำให้ปีเตอร์ต้องออกไปผจญภัยปฏิบัติภารกิจ จึงทำให้เราเห็นพัฒนาการของวัยรุ่นคนนี้ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ภาระอันหนักอึ้งคือการเป็นผู้นำซูเปอร์ฮีโร่รุ่นต่อไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ (แบบทุลักทุเล) และเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งทำให้เราเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้นำทีมได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แม้หนังจะสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวออกมาได้อย่างลื่นไหลและลงตัวมากแค่ไหน แต่มันก็ยังมีหลายๆ จุดที่ให้ได้จับผิดอยู่บ้าง หากมองข้ามหรือบางคนอาจจะมองไม่เห็นก็ไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาสาหัสอะไร ที่สำคัญที่สุดคือการที่เราได้สนุกกับเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ และอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบไม่แพ้การต่อสู้ของสไปเดอร์แมนคือการที่เจ้าตัวมีพัฒนาการอีกขั้นเกี่ยวกับเรื่องหัวใจ (ไม่ใช่แค่ปีเตอร์) ซึ่งน่าจะเดาเรื่องราวกันออกบอกเลยว่าฟินจริงๆ

นอกเหนือจากนั้นตัวละครทุกตัวในหนังก็ยังทำให้เราคิดถึงและดำเนินเรื่องราวต่อไปได้อย่างสนุกสนาน ถือว่าเป็นสีสันและมีความสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย ทั้ง ป้าเมย์, แฮปปี้, เอ็มเจ และเหล่าผองเพื่อนของสไปเดอร์แมน อย่างที่พอทราบข่าวคราวกันมาบ้างแล้วว่าเป็นธรรมเนียมของหนังมาร์เวลที่จะต้องมีเอนด์เครดิตมาให้ได้ตามต่อ โดยในครั้งนี้ก็มีถึงสองตอนด้วยกัน มันสำคัญขนาดที่ว่าห้ามพลาดเพราะหักมุมไม่แพ้เรื่องราวในหนังเลยทีเดียว

ถ้าผมรีวิวให้พวกคุณยังไม่เชื่อกัน ก็เหลือไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้วล้ะทุกโรงภาพยน์